วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คอรัปชั่นกับการสร้างจิตสำนึก
Regret
คำว่า regret หลายๆ คนแปลคงได้คำในภาษาไทยที่คล้ายกันว่าเป็นความสำนึกเสียใจ. ในทางเศรษฐศาสตร์ก็มีการกล่าวเรื่อง regret อยู่มาก แต่จะเป็นความหมายเฉพาะอยู่ซักหน่อยที่ว่า ไม่ใช่ความสำนึกเสียใจเรื่องอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นความสำนึกเสียใจที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจในอดีตที่ผิดของตัวเอง. ดังนั้นความเสียใจเพราะสุนัขที่เลี้ยงไว้ตายไปก็ไม่สอดคล้องกับคำนิยามของ regret ในที่นี้. การตัดสินใจที่ผิดนี้จะว่าไปแล้วก็เกิดจากการประเมินคุณ (Benefit) และโทษ (Cost) ที่ผิดไป. ความผิดบางอย่างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น เข้าไปทานร้านอาหารแล้วรู้สึกว่าไม่อร่อย สู้ไปทานร้านอื่นเสียดีกว่า แต่ความผิดพลาดบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ใหญ่ในชีวิต เช่น การแต่งงานที่จบลงด้วยการหย่าร้าง หรือการลงทุนที่ล้มเหลว.
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ ลักษณะที่เหมือนกันอย่างหนึ่งของความผิดพลาดที่นำไปสู่ regret นี้ก็คือ คนที่เกิด regret จะบอกตัวเองว่า ถ้ารู้อย่างนี้ก็ไม่ทำเสียดีกว่า. ดังนั้น คงพอจะกล่าวได้โดยไม่ผิดว่า สาเหตุของความสำนึกเสียใจในลักษณะนี้ก็คือ ความไม่รู้. เรื่องความไม่รู้นี้เป็นเรื่องสำคัญมากในเชิงเศรษฐศาสตร์ เพราะหัวใจของเศรษฐศาสตร์ที่เน้นระบบตลาดและคติแบบ "ตามใจท่าน" หรือ Laissez faire ก็ตั้งอยู่บนข้อสมมติฐานหนึ่งที่ว่า แต่ละคนมีความรู้และศักยภาพในการประเมินคุณและโทษที่เกิดจากการกระทำของตัวเองเป็นอย่างดี. แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในอุดมคติ เพราะในความเป็นจริงแล้วแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลก็ตัดสินใจผิดพลาดในหลายๆ เรื่องที่ก่อให้เกิดความสำนึกเสียใจภายหลังได้เหมือนกัน. หลายคนก็หย่าร้าง หลายคนก็ลงทุนล้มเหลว. จะว่าไปแล้วในชีวิตคนเราคงมี regret ใหญ่ๆ อยู่ไม่กี่เรื่อง บางเรื่องก็พอจะแก้ไขได้ แต่บางเรื่องก็ไม่ได้ หรือสายเกินกว่าจะแก้ได้.
ตอนเรียนที่อเมริกา ผมได้รู้จักนักเรียนทุนหลายคน. นักเรียนไทยแทบจะทุกคนจะได้ทุนอะไรซักอย่างจากเมืองไทยไปเรียนต่อทั้งนั้น. ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของนักเรียนทุนที่ผมรู้จักนี้อาจจะผิดจากที่หลายคนคาดไว้ซักหน่อยที่ว่า แต่ละคนมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก. เรียกได้ว่า ถึงไม่ได้รับทุนมาเรียน ทางบ้านก็พอจะส่งเสียให้เรียนได้. การรับทุนนั้นจึงเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง. รัฐบาลก็ลงทุนในตัวนักเรียน. นักเรียนก็ลงทุนในแง่ที่ว่าเมื่อได้บวกลบคูณหารทุกอย่างแล้วจึงตัดสินใจที่จะรับทุนมาเรียน.
คำว่าทุนในบริบทของประเทศไทยนั้นออกจะพิเศษอยู่ซักหน่อยที่ว่า มีภาระผูกพันอยู่มาก. ดังนั้น ถ้าจะให้แปลคำนี้เป็นภาษาอังกฤษคงไม่ตรงกับคำว่า Capital หรือทุนในทางเศรษฐศาสตร์ หรือคำว่า Fellowship หรือทุนการศึกษาแบบให้เปล่า เท่าใดนัก ออกจะไปเหมือนกับคำว่า Obligation หรือหนี้ทางกฎหมาย หรือคำว่า Loan หรือสินเชื่อในทางการเงินเสียมากกว่า. ผมเชื่อว่าหลายคนตอนที่กำลังจะรับทุนนั้นคิดคล้ายๆ กันว่า จะได้ช่วยประหยัดเงินทางบ้าน และในขณะเดียวกันพอจบกลับมาแล้วก็จะได้ทำงานที่ช่วยเหลือส่วนรวม ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติซึ่งเป็นประโยชน์ทางใจที่ไม่เป็นตัวเงิน ส่วนเงินเดือนก็พออยู่ได้ มีสวัสดิการดีครอบคลุมพ่อแม่ คู่ครอง และลูกๆ. และนี่ก็คือการวิเคราะห์ Cost-benefit ของการรับทุนโดยเด็กอายุไม่เกินยี่สิบปีครับ.
ผมลองถามเล่นๆ กับหลายๆ คนที่ผมรู้จักว่า ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปยังจะคิดรับทุนอีกหรือยอมจ่ายเงินมาเรียนเองดีกว่า. ลองทายดูนะครับว่าจากกลุ่มตัวอย่างแปดคนที่ผมถาม มีกี่คนที่เกิด regret กับเรื่องการรับทุน.
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เศรษฐศาสตร์กับยาเสพติด
แต่ก่อนมีเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมก็ว่าเป็นเรื่องที่ออกนอกความคิดของเศรษฐศาสตร์แบบเดิมๆ ไปมากแล้ว เดี๋ยวนี้แม้แต่เรื่องการฆ่าตัวตายก็ยังมีคนใช้เศรษฐศาสตร์อธิบาย. อาจารย์ที่ปรึกษาผมที่อเมริกาเคยบ่นกลายๆ ว่าเดี๋ยวนี้มีการประยุกต์ใช้เศรษฐศาสตร์ไปแทบทุกเรื่อง จนกระทั่งอีกหน่อยคงมีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยเรื่องการแปรงฟัน
แต่มีเศรษฐศาสตร์เรื่องหนึ่งซึ่งปัจจุบันผมสนใจมากและจะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ตรงกับการประยุกต์เศรษฐศาสตร์ที่คุ้มเคยกันซักเท่าไหร่ คือเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยเรื่องยาเสพติด. อันที่จริงแล้วมีการใช้แนวคิดเศรษฐศาสตร์อธิบายเรื่องการใช้หรือการซื้อขายยาเสพติดมานาน. แม้แต่ปปส. ก็ได้แบ่งยุทธศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดหลักๆ ออกเป็นยุทธศาสตร์ที่จัดการกับ demand และยุทธศาสตร์ที่จัดการกับ supply ของยาเสพติด.
หลังจากที่ผมได้เข้ามาศึกษาเรื่องเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยยาเสพติดอย่างจริงจังก็ทำให้เรียกได้ว่ากลายมาเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งสนับสนุนเรื่องการแก้กฎหมายให้ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย (Legalization). ปัจจุบันได้มีการหันมาวิเคราะห์อย่างจริงจังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหายาเสพติด ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจไว้ว่า ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจหลายประการที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้น ไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการเสพยาเสพติด หากเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการประกาศให้ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและการแทรกแซงในตลาดโดยการปราบปรามผู้เสพและผู้ค้า การเร่งปราบปรามยาเสพติดจึงย่อมจะสร้างให้เกิดพลวัต (Dynamics) ของปัญหาที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด กล่าวคือ ยิ่งปราบปรามมาก ก็ยิ่งสร้างให้เกิดปัญหามาก และเมื่อมีปัญหามาก ก็ยิ่งใช้มาตรการปราบปรามมาก
นี่จึงเป็นจุดเริ่มของแนวคิดเรื่องการทำให้สิ่งเสพติดเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายครับ. ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเรายอมแพ้กับมัน แต่เป็นเพราะเราต้องการจะแก้ปัญหาให้ถูกจุดต่างหากครับ. เดี๋ยววันหลังเราจะลองมาดูกันครับว่าทำไมการปราบปรามยาเสพติดจึงสร้างปัญหามากกว่าที่จะแก้ปัญหา.
ภาษีกับความเป็นธรรม
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ความ "เวอร์" ของวิชาเศรษฐศาสตร์
ผมเลือก Labor economics กับเศรษฐมิติ คำว่า Labor economics นี้ผมไม่อยากแปลว่าเศรษฐศาสตร์แรงงาน เพราะปัจจุบันเศรษฐศาสตร์สาขานี้กว้างเกินกว่าที่จะเป็นการพูดถึงเรื่องการว่างงาน การจ้างงาน อย่างเมื่อราวๆ ห้าสิบปีก่อน ตอนนี้ Labor economics ครอบคลุมแทบจะทุกเรื่องที่เป็นการประยุกต์การตัดสินใจของคน เช่น การก่ออาชญากรรม การแต่งงานหรือหย่าร้าง การมีลูก หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ มีการใช้คณิตศาสตร์ชั้นสูงเข้ามาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์เ้หล่านี้
ที่น่าสนใจก็คือ แล้วมันจริงหรือที่การที่โจรคนหนึ่งเลือกที่จะปล้น หรือการที่เด็กวัยรุ่นซักคนเลือกจะมีเซ็กส์จะเป็นผลจากกระบวนการ dynamic optimization ในเมื่อเด็กมันยังบวกลบคูณหารไม่ค่อยจะถูกเลย แล้วจะให้เชื่อว่าเค้าแก้ Bellman equation เป็นได้ยังไง หรือต่อให้แก้เป็น ก็ดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะมานั่งแก้ Bellman equation ก่อนตัดสินใจมีเซ็กส์
เดี๋ยวค่อยมาต่อกันวันหลังครับว่านักเศรษฐศาสตร์คิดยังไงกับเรื่องนี้
วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เรื่องของ Caring Society
มีผู้อภิปรายท่านหนึ่ง (ซึ่งน่าจะจบเศรษฐศาสตร์เหมือนผม) พูดในเชิงคล้ายๆ กับว่าเรื่อง caring นี้มันเป็นเรื่องเดียวกับ mechanism design ซึ่งผมแน่ใจว่าไม่ใช่ และนอกจากไม่ใช่แล้วยังเกือบจะเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกันเลย คำว่า caring นั้นมีคำจำกัดความที่เฉพาะเจาะจงมากในทางเศรษฐศาสตร์ เท่าที่ผมรู้ก็ปรากฏเป็นครั้งแรกในงานเขียนของ Gary Becker (ในรูป) ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาัลัยชิคาโก สมมติว่า x เป็นของของผม y เป็นของของคนอื่น u( ) กับ v( ) เป็น continuously differentiably increasing function อะไรก็ว่าไป utility function (สมมติให้แทนด้วย U กับ V) ที่เป็นแบบของใครของมันจะอยู่ในรูปของ
เขียนมายืดยาวความจริงก็ไม่ได้มีอะไรหรอกครับ นอกจากจะบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่อง if-then คือสมมติว่าความพอใจเป็นอย่างนี้ ก็จะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่เรื่อง mechanism design มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง utility function มันเป็นการเปลี่ยน constraint ต่างหาก คือสมมติว่าคนยังเห็นแก่ตัวกันนี่แหละ ทำยังไงจะให้ผลที่ออกมาเป็นประโยชน์กับสังคม หรือเป็นไปในลักษณะที่สังคมปรารถนา
สรุปก็คือเรื่อง caring นั้นเป็นเรื่องของ objective function (ซึ่งเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้บอกว่าควรจะเปลี่ยนหรือไม่ด้วย แค่บอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น อะไรจะเกิดขึ้น) ส่วนเรื่อง mechanism design เป็นเรื่องของ constraint